พลังการพูดตอน สร้างจินตนาการ สานความฝัน

ทุกคนมีความฝันเป็นของตนเอง ไม่มีใครที่ไร้จินตนาการ ทำอย่างไรที่เราจะผสานจินตนาการในความฝันของเขาให้เป็นความจริงได้อย่างง่ายดาย ความสำเร็จ บนเส้นทางของนักขายอย่างหนึ่งก็คือ เป็นนักปั้นฝันให้เป็นความจริง เพราะเป็นการอ้างอดีต โยงใยปัจจุบัน เพื่อสร้างสรรค์อนาคต หรือพูดง่าย ๆ คือ สร้างภาพแห่งอนาคตให้มีความชัดเจน เพื่อขายสินค้าและบริการนักขายประกัน ต้องสร้างความมั่นคง และหลักประกันให้ลูกค้าเห็นนักธุรกิจเครือข่าย ต้องสร้างอนาคตแห่งการเป็นเศรษฐีให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ? ที่จะทำให้นำเสนออนาคตให้มีความชัดเจนในใจเขาได้มากที่สุดอุปกรณ์อย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของการเป็นนักขายก็คือ พลังแห่งการพูดนั่นเอง

หลักการง่ายที่สุดที่จะเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้นักขายประสบความสำเร็จได้ อย่างง่ายดายก็คือ การใช้จินตนาการและความฝันที่มีอยู่ในใจของทุกคน มาผสมผสานให้สอดคล้องกับสินค้าและบริการของเราที่มีอยู่ เช่น เขาฝันอยากมีบ้านดี ๆ อยู่ ก็ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจของเราทำให้เขามีบ้านได้ไม่ยาก เขาฝันที่อยากจะมีรถหรู ๆ ขับ ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาจะมีแน่ถ้าได้ร่วมธุรกิจกับเราหรือเขาจะได้ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เขาปรารถนาถ้าได้มีโอกาสเข้าร่วมทำธุรกิจกับเรา

แต่ปัญหาก็เกิดตรงที่ว่า จะพูดหรืออธิบายอย่างไรที่จะทำให้เขาเห็นด้วย และคล้อยตามกับสิ่งที่เขามีและสิ่งทีเราต้องการจะให้เป็น ถ้าพูดเป็นเขาก็เห็นด้วยคล้อยตามง่าย แต่ถ้าพูดไม่เป็นก็ยากส์อย่างแน่นอน ลองทดสอบอย่างง่าย ๆ ก่อนว่า ถ้าเรานำเสนอกับตัวเองที่หน้ากระจกที่บ้าน แล้วรู้สึกว่า คนในกระจกนั้นพูดแล้วน่าฟัง น่าสนใจ น่าติดตาม ก็ออกไปพบลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังได้ แต่ถ้าฟังคนในกระจกพูดแล้วรู้สึกว่าไม่ได้เรื่อง ก็ให้พูดซ้ำ แล้วหาทางใช้ถ้อยคำใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการจูงใจก่อน แล้วค่อยออกจากบ้าน คนที่มีวิธีพูด จึงเป็นคนได้เปรียบในธุรกิจของนักขาย

ดังนั้นคนที่ไม่มีวิธีพูด จะต้องมีการเรียนรู้อย่างถูกต้อง เพื่อใช้เป็นทางลัดในการสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง นักขายต้องมีจินตนาการในใจชัดเจน แล้วนำเสนอจินตนาการนั้นให้สอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในใจของผู้มุ่งหวังแล้ว ปั้นเป็นภาพให้เห็นได้ในความจริง โดย….. ใช้พลังการพูดเพื่อให้เกิดภาพ ดังที่สุภาษิตจีนได้กล่าวไว้ว่า ภาพเพียงหนึ่งภาพ สามารถแทนคำพูดได้เป็น ๑,๐๐๐ คำ เพียงแต่ภาพนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงภาพตัวอย่างที่เราอัดไปให้เขาดู แต่เป็นภาพที่จะต้องสร้างให้เขาเห็นอย่างชัดเจนในใจของเขา แล้วต้องเห็นตรงกับที่เราต้องการให้เห็นด้วย

ที่สำคัญก็คือภาพนั้นต้องชัดและต้องแรงในความคิดของเขาด้วย เช่น “ถ้าเราทำงานประจำแล้วเก็บเงินได้เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ในปีหนึ่งเราจะเก็บได้เต็มที่คือ ๖๐,๐๐๐ บาท และถ้าในชีวิตนี้เราอยากจะมีเงินเก็บเพื่อความสุขสบายของตนเองและครอบครัว สัก ๖ ล้านบาท เราจะต้องใช้เวลาในการเก็บถึง ๑๐๐ ปีเลยที่เดียว แต่ถ้ามีธุรกิจสักอย่างที่ทำให้มีเงิน ๖ ล้านภายในระยะเวลาเพียงไม่เกิน ๕ ปี ใครบ้างที่จะไม่สนใจ (แล้วก็อธิบายเส้นทางด้วยแผนการตลาดกับเขา)” “ถ้าวันนี้เรามีเงินเพียงพอที่จะซื้อสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ให้กับคุณพ่อ คุณแม่ หรือคนที่เรารัก คงไม่เสียดายเงินเลยถ้าทำได้ใช่ไหมครับ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ยืดเวลาให้คนที่เรารักได้อยู่กับเราได้นานขึ้นกว่า เดิม เพราะถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่ของเราจะอายุมากเท่าไร เราก็ปรารถนาให้ท่านอยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้…………”

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคในการพูดให้เห็นภาพและขจัดข้อโต้แย้งในใจเขาได้ดีที่สุดก็คือ การใช้คำถามเป็นตัวกระตุ้นความคิด เพราะคำถามจะช่วยสร้างจินตนาการได้แรงและเร็ว แต่คำถามนั้นต้องให้เขาตอบในใจไปในทางเดียวกับเรานะครับ เช่น ไม่มีใครไม่อยากจนใช่ไหมครับ ? ถ้าเป็นไปได้ เราอยากเลือกสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปตลอดใช่ไหมครับ ? คงไม่ปฏิเสธใช่ไหมครับ ถ้ามีใครมาช่วยสร้างฝันของเราให้เป็นจริงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ? ท่านนักขายลองนำไปปรับใช้ในกับผู้มุ่งหวังของเราในการพบกันคราวหน้านะครับ ผมเชื่อว่าท่านจะประสบความสำเร็จบนถนนแห่งความเป็นจริงอย่างแน่นนอน

ก่อนจากกันฉบับนี้ขอฝากข้อคิดนักขาย จาก ร้อยเอก ศ.ดร.จิตรจำนงค์ สุภาพ เกี่ยวกับการพูดเพื่อให้เกิดภาพว่า “การพูดเป็นภาพจะช่วยให้แนวความคิดของผู้พูดพุ่งเข้าสู่จิตใจผู้ฟังอย่ารวดเร็ว”

อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 132 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 พฤษภาคม 2551